บางครั้งความห่วงใยอาจเป็นการก้าวก่ายโดยไม่รู้ตัว
บางครั้งการที่เราพยายาม “ห่วงใย” อีกฝ่ายก็ดันกลายเป็นการก้าวก่ายไม่รู้ตัว
เพราะต่อให้เราจะเป็นห่วงเป็นใยและหวังดีมากแค่ไหน
แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการ ความห่วงใยของเราก็จะกลายเป็นการก้าวก่ายชีวิตเขาทันที
เพราะบางครั้งการที่เราหวังดีกับเขาก็อาจจะส่งผลร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จนเราต้องมานั่งเสียใจ เพราะทั้งๆที่เราหวังดีกับเขา แต่ทำไมผลที่ออกมาถึงเลวร้ายแบบนี้
เช่น สามีจะไปทำงานเขากลัวลืมเอกสารสำคัญเขาจึงเอามันใส่กระเป๋าไปแขวนไว้
ตรงประตูทางออกของบ้าน เพื่อที่เวลาเขาออกบ้านเขาจะได้สังเกตเห็นและไม่ลืมมัน
แต่ภรรยากลับมาเห็นกระเป๋านั้นถูกห้อยอยู่ จึงคิดว่าควรจะเอาไปเก็บในห้องทำงาน
ของสามี จะได้ไม่เกะกะทางเข้าออกของบ้าน
นั่นจึงทำให้กระเป๋าใบนั้นที่มีเอกสารสำคัญไปอยู่ในห้องทำงาน พอสามีจะออกไปทำงาน
เขาก็ไม่เห็นกระเป๋าใบนั้นตอนกำลังออกจากบ้าน และนั่นจึงทำให้เขาลืมเอกสารสำคัญไป
จะเห็นได้ว่านี่คือผลของการหวังดี แต่ผลที่ออกมากลับเป็นผลร้าย เพราะทำให้สามีของเธอ
ลืมเอกสารสำคัญไป
บางครั้งการหวังดีก็ก่อให้เกิดความรำคาญได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะบางครั้งการที่เราไปเตือนอะไรคนอื่นว่ามันไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าสิ่งนั้นมันถูกใจของเขา การหวังดีที่เราไปเตือนก็จะทำให้เขารำคาญได้เช่นกัน
เช่นหวังดีไม่อยากให้แฟนกินเหล้าสูบบุหรี่เพราะมีแต่ผลเสีย
แต่นั่นกลับสร้างความรำคาญให้แฟน จนบางครั้งอาจทำให้แฟน
ต้องออกไปกินนอกบ้าน เพื่อที่จะได้ไม่ฟังคุณบ่น
ซึ่งถึงแม้ว่าการเตือนแบบนี้เพราะว่าเราหวังดี
แต่คนที่ถูกเตือนมักจะรำคาญและไม่เห็นความหวังดีของเรา
เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะห่วงใยหรือแสดงความหวังดีกับใคร
เราต้องหาเวลาที่เหมาะสมที่สุด ไม่อย่างนั้นความห่วงใยและความหวังดีของเรา
ก็อาจจะกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเราก็เป็นได้ค่ะ